
การติดตั้งระบบไฟฟ้าที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพไม่ได้ขึ้นอยู่กับคุณภาพของสายไฟและเบรกเกอร์เท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับ ความเหมาะสมของขนาด ที่เลือกใช้ร่วมกัน ซึ่งถือเป็นหัวใจหลักของมาตรฐานการติดตั้งทางไฟฟ้า การเลือกขนาดที่ไม่เหมาะสมอาจนำไปสู่อันตรายร้ายแรง เช่น สายไฟร้อนจัด ฉนวนละลาย ไฟฟ้าลัดวงจร และไฟไหม้ได้
1. หลักการสำคัญ: “สายต้องใหญ่กว่าเบรกเกอร์”
กฎพื้นฐานที่สุดในการเลือกอุปกรณ์ไฟฟ้าคือ ขนาดการทนกระแสของสายไฟ (Ampacity) ต้องมากกว่าขนาดพิกัดกระแสของเบรกเกอร์ (Rating) เสมอ
- สายไฟ: ทำหน้าที่เป็นตัวนำกระแสไฟฟ้าไปยังอุปกรณ์
- เบรกเกอร์ (Circuit Breaker): ทำหน้าที่เป็นอุปกรณ์ป้องกัน โดยจะ ตัดกระแสไฟฟ้า ออกจากระบบทันทีที่กระแสไฟฟ้าไหลเกินพิกัดที่กำหนด (Overload) หรือเกิดการลัดวงจร (Short Circuit)
เหตุผล: หากคุณเลือกเบรกเกอร์ขนาดใหญ่กว่าความสามารถในการทนกระแสของสายไฟ เมื่อเกิดกระแสเกิน เบรกเกอร์จะไม่ตัดไฟ แต่สายไฟจะร้อนจัดและไหม้ก่อนที่เบรกเกอร์จะทำงาน
2. การเลือกขนาดสายไฟ (พิจารณาจากโหลดและการติดตั้ง)
การเลือกขนาดสายไฟ (หน่วยเป็น ตร.มม.) ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก 3 อย่างคือ:
ปัจจัยที่ต้องพิจารณา | รายละเอียด |
1. ปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ต้องการ (Demand Current) | คำนวณจากกำลังไฟฟ้าของเครื่องใช้ไฟฟ้า (P = V I) เช่น เครื่องทำน้ำอุ่น 3,500 วัตต์ ที่ 220 โวลต์ จะใช้กระแสประมาณ 16 แอมแปร์ |
2. ชนิดของสายไฟและฉนวน | สายแต่ละชนิด (เช่น THW, VAF, NYY) มีความสามารถในการทนความร้อนและการทนกระแสต่างกัน ควรเลือกชนิดที่เหมาะสมกับสถานที่ติดตั้ง |
3. วิธีการติดตั้ง (ปัจจัยลดค่า) | การติดตั้งมีผลต่อการระบายความร้อน: ร้อยท่อฝังในผนัง หรือ ร้อยท่อรวมกันหลายเส้น จะระบายความร้อนได้ไม่ดี ทำให้ความสามารถในการทนกระแส (Ampacity) ลดลง ต้องเลือกสายที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อชดเชย |
ตัวอย่างขนาดสายไฟขั้นต่ำที่นิยมใช้ตามมาตรฐาน (โดยประมาณ):
ลักษณะการใช้งาน | ขนาดสายไฟขั้นต่ำ (ตร.มม.) |
หลอดไฟ/แสงสว่าง | 1.5 (บางมาตรฐานกำหนด 2.5) |
เต้ารับทั่วไป | 2.5 |
เครื่องทำน้ำอุ่น (3,500 W) | 4 หรือ 6 |
เครื่องปรับอากาศ (ใหญ่) | 6 ขึ้นไป |
สายเมนเข้าบ้าน | 10 หรือ 16 ขึ้นไป (ขึ้นอยู่กับขนาดมิเตอร์) |
3. การเลือกขนาดเบรกเกอร์ (พิจารณาจากพิกัดสายและโหลด)
ขนาดพิกัดของเบรกเกอร์ (หน่วยเป็นแอมแปร์) ที่เลือกต้องเป็นไปตามเงื่อนไขต่อไปนี้:
เงื่อนไข | สูตร/หลักการ |
1. ป้องกันสายไฟ (ป้องกันกระแสเกิน) | พิกัดเบรกเกอร์ (A) ต้องน้อยกว่าหรือเท่ากับ ความสามารถในการทนกระแสของสายไฟ (A) |
2. รองรับโหลด (ป้องกันการตัดก่อนกำหนด) | พิกัดเบรกเกอร์ (A) ต้องมากกว่า กระแสใช้งานจริงของโหลด (A) |
3. ป้องกันการลัดวงจร (ค่า kA) | ค่าพิกัดตัดกระแสลัดวงจร (kA) ของเบรกเกอร์ ต้องมากกว่า หรือเท่ากับค่ากระแสลัดวงจรสูงสุดที่อาจเกิดขึ้น ณ จุดติดตั้งนั้น (มักใช้ 5 kA หรือ 10 kA สำหรับบ้านพักอาศัยทั่วไป) |
ตัวอย่างการเลือกเบรกเกอร์ให้เหมาะสมกับสายไฟ:
สมมติว่าคุณเลือกใช้สายไฟขนาด 4 ตร.มม. ซึ่งมีความสามารถในการทนกระแสที่ปลอดภัยในท่อร้อยสายประมาณ 27 A (ตามตารางมาตรฐาน):
- โหลดจริง: เครื่องทำน้ำอุ่นใช้กระแส 16 A
- พิกัดสายไฟ: ทนได้ 27 A
- ขนาดเบรกเกอร์ที่เหมาะสม: ควรเลือกเบรกเกอร์ขนาด 20 A (ซึ่งมากกว่า 16 A แต่ยังน้อยกว่า 27 A
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อย: คือการเลือกเบรกเกอร์ 30 A สำหรับสาย 4 ตร.มม. ซึ่งจะทำให้สายไฟทำงานหนักเกินไปและเกิดความร้อนสะสมเมื่อกระแสเกิน 27 A แต่ไม่ถึง 30 A ทำให้เกิดความเสี่ยงไฟไหม้สูง
การทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างขนาดสายไฟและขนาดเบรกเกอร์ จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้ระบบไฟฟ้าของคุณทำงานได้อย่างราบรื่นและมอบความปลอดภัยสูงสุดให้กับผู้อยู่อาศัย
#ช่างไฟดอทคอม บริการงานซ่อมบำรุงระบบไฟฟ้า ไฟฟ้ากำลัง งานออกแบบติดตั้ง ครบจบ
ขั้นตอนการใช้บริการ
แอดไลน์ > แจ้งปัญหา > รอราคา > ตกลงราคา > รับบริการ

