
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา “ชิปขาดแคลน” เป็นคำที่ได้ยินบ่อยครั้งในวงการเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมทั่วโลก ปัญหานี้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อห่วงโซ่อุปทานการผลิต ตั้งแต่รถยนต์, สมาร์ทโฟน, คอมพิวเตอร์ ไปจนถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า ทำให้หลายบริษัทต้องลดกำลังการผลิตและเลื่อนการส่งมอบสินค้าออกไป
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในปัจจุบันกำลังเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ บทความนี้จะเจาะลึกถึงภาพรวมสถานการณ์ชิปเซมิคอนดักเตอร์ในปัจจุบัน และแนวโน้มที่กำลังจะเกิดขึ้น
สาเหตุของวิกฤตที่ผ่านมา
วิกฤตชิปขาดแคลนในช่วงปี 2563-2565 มีสาเหตุหลักมาจากปัจจัยหลายอย่างที่เกิดขึ้นพร้อมกัน:
- การระบาดของ COVID-19: การล็อกดาวน์ทั่วโลกส่งผลกระทบโดยตรงต่อโรงงานผลิตชิปหลายแห่ง ทำให้การผลิตหยุดชะงัก ในขณะเดียวกัน ความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สำหรับ Work from Home และการเรียนออนไลน์กลับพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
- สงครามการค้าและภูมิรัฐศาสตร์: ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน ทำให้เกิดนโยบายจำกัดการส่งออกและนำเข้าเทคโนโลยี ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานที่ซับซ้อนของอุตสาหกรรม
- การเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรม: การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า (EV), ปัญญาประดิษฐ์ (AI), และอุปกรณ์ IoT (Internet of Things) ทำให้ความต้องการชิปเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
สถานการณ์ปัจจุบัน: จากขาดแคลนสู่การฟื้นตัวและแข่งขัน
แม้ว่าปัญหาการขาดแคลนชิปจะเริ่มคลี่คลายลง แต่สถานการณ์ในปัจจุบันกลับเข้าสู่ยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการแข่งขันและการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง:
- อุปทานเริ่มกลับมาเป็นปกติ: ระยะเวลาในการรอชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์ (lead time) เริ่มสั้นลงอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากผู้ผลิตรายใหญ่ เช่น TSMC, Samsung และ Intel ได้เร่งกำลังการผลิตและขยายโรงงานใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการที่ค้างอยู่
- การเติบโตของเทคโนโลยี AI: ชิปประมวลผลกราฟิก (GPU) และชิปเฉพาะทางสำหรับ AI กลายเป็นดาวเด่นของตลาด ความต้องการชิปเหล่านี้ยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทอย่าง NVIDIA มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง
- การย้ายฐานการผลิต: เพื่อลดความเสี่ยงจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ หลายประเทศและบริษัทใหญ่ๆ จึงมีนโยบาย “friend-shoring” หรือ “on-shoring” โดยพยายามย้ายฐานการผลิตชิปกลับเข้ามาในประเทศของตนเองมากขึ้น เช่น สหรัฐอเมริกาที่ออกกฎหมาย CHIPS and Science Act เพื่อสนับสนุนการผลิตในประเทศ
- การแข่งขันที่เข้มข้นในระดับภูมิภาค: ภูมิภาคเอเชียยังคงเป็นศูนย์กลางการผลิตชิปที่สำคัญ โดยเฉพาะไต้หวัน เกาหลีใต้ และจีน ในขณะเดียวกัน ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น สิงคโปร์, มาเลเซีย และไทย ก็กำลังมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในกระบวนการประกอบและทดสอบชิป (Assemble, Testing, and Packaging: ATP)
แนวโน้มในอนาคต
สถานการณ์ชิปเซมิคอนดักเตอร์ในอนาคตจะขับเคลื่อนด้วยหลายปัจจัย:
- การเติบโตอย่างต่อเนื่องของตลาดชิป: แม้เศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวในบางภาคส่วน แต่ตลาดชิปโดยรวมยังคงมีแนวโน้มเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะจากความต้องการในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า, AI, และศูนย์ข้อมูล (Data Center)
- การวิจัยและพัฒนาชิปขั้นสูง: การแข่งขันด้านเทคโนโลยีการผลิตชิปที่มีขนาดเล็กลงและประหยัดพลังงานมากขึ้นจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
- ความสำคัญของห่วงโซ่อุปทานที่ยืดหยุ่น: บริษัทต่างๆ จะให้ความสำคัญกับการกระจายความเสี่ยงในห่วงโซ่อุปทานมากขึ้น เพื่อป้องกันการหยุดชะงักที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
วิกฤตชิปขาดแคลนที่ผ่านมาเป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้โลกตระหนักถึงความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทานในยุคดิจิทัล สถานการณ์ในปัจจุบันกำลังฟื้นตัวและเข้าสู่ยุคแห่งการแข่งขันด้านนวัตกรรมและภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งผู้เล่นแต่ละฝ่ายต่างพยายามสร้างความได้เปรียบและความมั่นคงในการผลิตของตนเอง สิ่งนี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ แต่ยังกำหนดทิศทางของเศรษฐกิจโลกในอนาคตอีกด้วย
นนระบบไฟฟ้า ออกแบบ ติดตั้ง ขออนุญาต ไฟบ้าน ไฟอาคาร ไฟฟ้าโรงงาน #ช่างไฟดอทคอม
ขั้นตอนการใช้บริการ
แอดไลน์ > แจ้งปัญหา > รอราคา > ตกลงราคา > รับบริการ
