
ในยุคที่ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ “เครื่องตรวจจับควัน” หรือ “Smoke Detector” ได้กลายเป็นอุปกรณ์พื้นฐานที่จำเป็นสำหรับทุกอาคาร ไม่ว่าจะเป็นบ้านพักอาศัย อาคารสำนักงาน หรือโรงงานอุตสาหกรรม อุปกรณ์ชิ้นเล็กๆ นี้มีบทบาทสำคัญในการแจ้งเตือนเหตุเพลิงไหม้ตั้งแต่เนิ่นๆ ช่วยให้มีเวลาอพยพและเข้าควบคุมสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที แต่เคยสงสัยหรือไม่ว่าเจ้าเครื่องมืออัจฉริยะนี้มีหลักการทำงานอย่างไร?
โดยทั่วไปแล้ว เครื่องตรวจจับควันมี 2 ประเภทหลักๆ ที่นิยมใช้งาน ซึ่งแต่ละประเภทก็มีกลไกการทำงานที่แตกต่างกันเล็กน้อย ได้แก่ เครื่องตรวจจับควันแบบไอออไนเซชัน (Ionization Smoke Detector) และเครื่องตรวจจับควันแบบโฟโตอิเล็กทริก (Photoelectric Smoke Detector)
1. เครื่องตรวจจับควันแบบไอออไนเซชัน (Ionization Smoke Detector)
เครื่องตรวจจับควันประเภทนี้ทำงานโดยอาศัยหลักการเปลี่ยนแปลงกระแสไฟฟ้าที่เกิดจากการไอออไนเซชันของอากาศภายในห้องตรวจจับควัน
- หลักการทำงาน:
- ภายในเครื่องจะมีสารกัมมันตรังสีปริมาณน้อยมาก (เช่น Americium-241) ซึ่งจะปล่อยอนุภาคอัลฟา (Alpha Particles) ออกมาอย่างต่อเนื่อง
- อนุภาคอัลฟาเหล่านี้จะไปชนกับโมเลกุลของอากาศ (ไนโตรเจนและออกซิเจน) ภายในห้องตรวจจับ ทำให้โมเลกุลเหล่านั้นแตกตัวเป็นไอออนบวกและอิเล็กตรอนอิสระ (ไอออนลบ)
- ภายในห้องตรวจจับจะมีแผ่นขั้วไฟฟ้าบวกและลบอยู่ เมื่อมีไอออนบวกและอิเล็กตรอนเกิดขึ้น จะเกิดกระแสไฟฟ้าไหลอย่างต่อเนื่องระหว่างขั้วไฟฟ้าทั้งสอง
- เมื่อมีควันเข้าสู่ห้องตรวจจับ: อนุภาคควันจะเข้าไปจับกับไอออนบวกและอิเล็กตรอน ทำให้ขนาดของไอออนเหล่านั้นใหญ่ขึ้นและเคลื่อนที่ช้าลง ส่งผลให้กระแสไฟฟ้าที่ไหลอยู่ลดลงหรือหยุดชะงัก
- การแจ้งเตือน: เมื่อวงจรอิเล็กทรอนิกส์ตรวจจับได้ว่ากระแสไฟฟ้าลดลงต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ก็จะส่งสัญญาณเตือนภัยออกมาทันที
2. เครื่องตรวจจับควันแบบโฟโตอิเล็กทริก (Photoelectric Smoke Detector)
เครื่องตรวจจับควันประเภทนี้จะใช้หลักการตรวจจับการกระเจิงของแสงเมื่อมีควันเข้าสู่ห้องตรวจจับ
- หลักการทำงาน:
- ภายในเครื่องจะมีแหล่งกำเนิดแสง (ปกติเป็น LED หรือไดโอดเปล่งแสงอินฟราเรด) และตัวรับแสง (Photo-sensor หรือ Photo-diode) ติดตั้งอยู่ในห้องตรวจจับ โดยจะจัดวางตำแหน่งให้แสงจากแหล่งกำเนิดไม่ได้ส่องตรงไปยังตัวรับแสงโดยตรงในภาวะปกติ
- เมื่อมีควันเข้าสู่ห้องตรวจจับ: อนุภาคควันจะเข้าไปในเส้นทางของแสงที่ออกมาจากแหล่งกำเนิด
- การกระเจิงแสง: เมื่อแสงไปกระทบกับอนุภาคควัน แสงจะเกิดการกระเจิง (Scattering) และบางส่วนของแสงที่กระเจิงนั้นจะสะท้อนหรือหักเหไปตกกระทบที่ตัวรับแสงที่ถูกจัดวางไว้
- การแจ้งเตือน: เมื่อตัวรับแสงตรวจจับแสงที่กระเจิงมาตกกระทบได้ในระดับที่เพียงพอ วงจรอิเล็กทรอนิกส์ก็จะส่งสัญญาณเตือนภัยออกมา
ข้อแตกต่างที่สำคัญและการเลือกใช้งาน
- ไอออไนเซชัน: มักจะตอบสนองได้เร็วกว่าต่อควันจากเพลิงไหม้ที่ลุกไหม้เร็ว (Flaming Fires) ซึ่งมีอนุภาคควันขนาดเล็กจำนวนมาก
- โฟโตอิเล็กทริก: มักจะตอบสนองได้เร็วกว่าต่อควันจากเพลิงไหม้ที่คุขึ้นช้าๆ (Smoldering Fires) ซึ่งมีอนุภาคควันขนาดใหญ่
เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันอัคคีภัย ในหลายๆ สถานที่จึงนิยมติดตั้งเครื่องตรวจจับควันทั้งสองประเภท หรือเลือกใช้เครื่องตรวจจับควันแบบ Multi-Sensor ที่รวมเอาเทคโนโลยีทั้งสองแบบเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อให้สามารถตรวจจับเพลิงไหม้ได้หลากหลายรูปแบบและครอบคลุมมากที่สุด
สรุป
เครื่องตรวจจับควันเป็นอุปกรณ์ความปลอดภัยที่ทำงานด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่ซับซ้อนแต่มีประสิทธิภาพสูง ไม่ว่าจะเป็นการตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของกระแสไอออน หรือการตรวจจับการกระเจิงของแสง ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเป้าหมายเดียวกันคือการแจ้งเตือนภัยเพลิงไหม้ตั้งแต่เริ่มต้น ช่วยลดความเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สินได้อย่างมหาศาล การบำรุงรักษาและทดสอบเครื่องตรวจจับควันอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์ชิ้นเล็กแต่สำคัญนี้พร้อมทำงานอยู่เสมอเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน.
งานระบบไฟฟ้า ดูแล ออกแบบ ติดตั้ง ซ่อมบำรุงระบบ งานระบบไฟฟ้า ไฟฟ้ากำลัง #ช่างไฟดอทคอม
ขั้นตอนการใช้บริการ
แอดไลน์ > แจ้งปัญหา > รอราคา > ตกลงราคา > รับบริการ

