
1. แบบ Franklin Rod (Conventional Rod)
เป็นหัวล่อฟ้าแบบดั้งเดิมที่ได้รับความนิยมสูงที่สุด มีลักษณะเป็นแท่งโลหะปลายแหลม (มักเป็นทองแดงหรือสเตนเลส) ติดตั้งไว้ที่จุดสูงสุดของอาคาร
- หลักการทำงาน: ใช้หลักการ “Point Effect” โดยปลายที่แหลมจะสร้างสนามไฟฟ้าเข้มข้นเพื่อดึงดูดลำประจุฟ้าผ่าให้มาลงที่แท่งโลหะ
- จุดเด่น: ราคาประหยัด ติดตั้งง่าย และมีความทนทานสูง
- ข้อจำกัด: มีรัศมีป้องกันจำกัดตามมุมป้องกัน (Protection Angle) เหมาะสำหรับอาคารที่มีพื้นที่ไม่กว้างมาก
2. แบบ Early Streamer Emission (ESE)
เป็นหัวล่อฟ้าที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อเพิ่มรัศมีการป้องกันให้กว้างกว่าแบบธรรมดา
- หลักการทำงาน: ภายในหัว ESE จะมีวงจรที่ช่วยกระตุ้นการสร้าง “ลำประจุย้อนกลับ” (Upward Streamer) ให้พุ่งขึ้นไปหาฟ้าผ่าได้เร็วกว่าวัตถุอื่นรอบข้าง
- จุดเด่น: ครอบคลุมพื้นที่ได้กว้างมาก (รัศมีอาจสูงถึง 100 เมตรขึ้นไป) ทำให้ใช้จำนวนหัวล่อน้อยลง ช่วยรักษาทัศนียภาพของอาคาร
- ข้อจำกัด: ราคาสูงกว่าแบบ Franklin Rod และต้องมีการตรวจสอบระบบวงจรภายในตามระยะเวลา
3. แบบ Faraday Cage (Mesh Method)
เป็นการใช้สายตัวนำ (Conductor) วางพาดเป็นตาข่ายบนหลังคาอาคารแทนการใช้หัวล่อฟ้าแบบแท่งเพียงจุดเดียว
- หลักการทำงาน: สร้างกรงล้อมรอบอาคารไว้ เมื่อเกิดฟ้าผ่า กระแสจะถูกกระจายออกไปตามโครงตาข่ายและไหลลงดินในหลายๆ จุดพร้อมกัน
- จุดเด่น: มีความปลอดภัยสูงมาก นิยมใช้กับอาคารขนาดใหญ่ โรงงานอุตสาหกรรม หรืออาคารที่มีความสำคัญสูง
- ข้อจำกัด: การติดตั้งซับซ้อนและใช้ปริมาณวัสดุค่อนข้างมาก
การเลือกใช้งาน
การเลือกประเภทของ Air Terminal ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ระดับความเสี่ยงของอาคาร (LPL), พื้นที่ของหลังคา, และงบประมาณ โดยวิศวกรจะใช้การคำนวณตามมาตรฐานสากลอย่าง IEC 62305 หรือมาตรฐาน วสท. ของไทยเพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุดครับ
บริการงานระบบไฟฟ้า ไฟบ้าน ไฟอาคาร ไฟสำนักงาน ไฟฟ้าโรงงาน #ช่างไฟดอทคอม
แจ้งปัญหาหรือปรึกษาเกี่ยวกับระบบไฟฟ้า ฟรี!!!
HOTLINE-061-417-5732
https://www.facebook.com/changfidotcom
Line: @changfi
ขั้นตอนการใช้บริการ
แอดไลน์ > แจ้งปัญหา > รอราคา > ตกลงราคา > รับบริการ

