
เฮลิคอปเตอร์คือเครื่องจักรที่น่าทึ่งซึ่งทำหน้าที่หลากหลาย ตั้งแต่การขนส่งผู้โดยสาร การดับเพลิง ไปจนถึงภารกิจกู้ชีพกู้ภัย แต่สิ่งที่หลายคนอาจไม่ทราบคือ ในขณะที่ใบพัดขนาดใหญ่กำลังหมุนแหวกอากาศ เครื่องจักรนี้กำลังสะสมพลังงานที่มองไม่เห็น นั่นคือ “ไฟฟ้าสถิตย์ (Static Electricity)” ซึ่งเป็นอันตรายเงียบๆ ที่อาจถึงแก่ชีวิตได้หากไม่มีมาตรการป้องกันที่เหมาะสม
ไฟฟ้าสถิตย์บนเฮลิคอปเตอร์เกิดขึ้นได้อย่างไร?
ไฟฟ้าสถิตย์เกิดขึ้นจากการ เสียดสี (Friction) ของวัตถุต่างชนิดกัน ปรากฏการณ์นี้บนเฮลิคอปเตอร์มีสาเหตุหลักมาจาก:
- การเสียดสีกับอากาศและอนุภาค (Triboelectric Effect): เมื่อใบพัดของเฮลิคอปเตอร์หมุนด้วยความเร็วสูง มันจะเสียดสีกับอากาศ ฝุ่นละออง ไอน้ำ หรืออนุภาคเล็กๆ ในชั้นบรรยากาศอย่างต่อเนื่อง การเสียดสีนี้ทำให้เกิดการ โอนย้ายประจุไฟฟ้า อิเล็กตรอนส่วนเกินจะสะสมอยู่บนตัวเครื่องบินและใบพัด ทำให้ตัวเครื่องกลายเป็นวัตถุที่มี ประจุไฟฟ้าสูง (Charged Body)
- การสะสมประจุ: ขณะบิน ประจุไฟฟ้าจะสะสมตัวอยู่บนพื้นผิวของตัวถังเครื่องบินและใบพัด เนื่องจากวัสดุที่ใช้สร้างเครื่องบินเป็นฉนวนไฟฟ้าที่ดี ทำให้ประจุเหล่านี้ไม่สามารถระบายออกไปได้ง่าย
อันตรายของไฟฟ้าสถิตย์ต่อการปฏิบัติงาน
การสะสมประจุไฟฟ้าสถิตย์บนเฮลิคอปเตอร์เป็นปัญหาที่สำคัญ โดยเฉพาะในภารกิจที่เฮลิคอปเตอร์ต้องลงจอด สัมผัสพื้นดิน หรือยกสิ่งของ:
- อันตรายต่อเจ้าหน้าที่ภาคพื้นดิน/ผู้ประสบภัย: เมื่อตัวเครื่องเฮลิคอปเตอร์ที่มีประจุสูงอยู่ใกล้กับวัตถุที่เป็นกลางทางไฟฟ้า (เช่น เจ้าหน้าที่กู้ภัยที่สัมผัสพื้นดิน หรือตะขอเกี่ยวที่กำลังจะแตะพื้น) จะเกิดการ คายประจุ (Discharge) อย่างรุนแรงในรูปแบบของ ประกายไฟวาบ (Static Spark) ซึ่งก่อให้เกิดการช็อกอย่างรุนแรงแก่ผู้ที่สัมผัส
- ความเสี่ยงต่อการเกิดไฟไหม้/ระเบิด: ในภารกิจการเติมเชื้อเพลิง หรือในสภาพแวดล้อมที่มีก๊าซหรือไอระเหยไวไฟ (เช่น ใกล้โรงงานเคมี หรือการขนส่งสารไวไฟ) ประกายไฟสถิตย์ที่เกิดจากการคายประจุเพียงเล็กน้อยก็เพียงพอที่จะ จุดระเบิด สารไวไฟเหล่านั้นได้ทันที
- การรบกวนระบบวิทยุ: ประจุไฟฟ้าที่สะสมอยู่บนตัวเครื่องอาจทำให้เกิด คลื่นรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้า (EMI) ซึ่งส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อการทำงานปกติของอุปกรณ์วิทยุและระบบนำร่องที่มีความละเอียดอ่อนของเฮลิคอปเตอร์
การป้องกันและจัดการไฟฟ้าสถิตย์
เพื่อรับมือกับอันตรายจากไฟฟ้าสถิตย์ นักบินและทีมงานภาคพื้นดินจึงต้องมีมาตรการป้องกันที่เคร่งครัด:
- การต่อสายดินก่อนการสัมผัส (Grounding or Bonding): ในภารกิจกู้ภัย หรือการหย่อนสินค้าลงสู่พื้นดิน นักบินมักจะใช้ สายนำไฟฟ้าสถิตย์ (Static Discharge Line) ซึ่งเป็นสายเคเบิลหรือโซ่ตัวนำที่ห้อยลงมาจากตัวเครื่อง สายนี้จะถูกปล่อยให้แตะพื้นดินหรือวัตถุที่เป็นกลางทางไฟฟ้า ก่อนที่เจ้าหน้าที่หรือตะขอจะไปสัมผัส เพื่อให้ประจุไฟฟ้าที่สะสมอยู่บนตัวเครื่องระบายลงสู่พื้นดินอย่างปลอดภัย ทำให้ตัวเครื่องกลับมาเป็นกลางทางไฟฟ้า
- ปลายระบายประจุ (Static Wicks/Dischargers): เครื่องบินสมัยใหม่มีการติดตั้งอุปกรณ์รูปทรงปลายแหลมขนาดเล็กไว้ที่ขอบปีกหรือส่วนท้ายของเครื่องบิน อุปกรณ์เหล่านี้ช่วยให้ประจุไฟฟ้าสามารถ คายประจุโคโรนา (Corona Discharge) ออกไปในอากาศได้อย่างช้าๆ และควบคุมได้ ขณะที่เครื่องบินกำลังบินอยู่
- วัสดุยางตัวนำไฟฟ้า: ยางล้อของเฮลิคอปเตอร์ที่ใช้ในการลงจอดมักถูกออกแบบให้มีคุณสมบัติเป็น ตัวนำไฟฟ้า (โดยการเติมผงถ่านหรือสารตัวนำ) เพื่อให้ประจุไฟฟ้าที่สะสมสามารถระบายออกจากตัวเครื่องลงสู่ลานจอดได้อย่างช้าๆ เมื่อมีการลงจอด
ไฟฟ้าสถิตย์บนเฮลิคอปเตอร์เป็นเรื่องของฟิสิกส์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่สามารถกลายเป็นภัยพิบัติทางด้านความปลอดภัยได้อย่างร้ายแรง การทำความเข้าใจกลไกการเกิดและการนำมาตรการ การต่อสายดิน (Grounding) มาใช้ในการปฏิบัติงานอย่างเคร่งครัด จึงเป็นสิ่งสำคัญสูงสุดในการปกป้องทั้งเจ้าหน้าที่ ผู้ประสบภัย และระบบอากาศยานจากการช็อกและการระเบิดที่เกิดจากภัยเงียบแห่งเวหาชนิดนี้
บริการงานระบบไฟฟ้า ไฟบ้าน ไฟอาคาร ไฟสำนักงาน ไฟฟ้าโรงงาน #ช่างไฟดอทคอม
แจ้งปัญหาหรือปรึกษาเกี่ยวกับระบบไฟฟ้า ฟรี!!!
HOTLINE-061-417-5732
https://www.facebook.com/changfidotcom
Line: @changfi
ขั้นตอนการใช้บริการ
แอดไลน์ > แจ้งปัญหา > รอราคา > ตกลงราคา > รับบริการ

