
ในสภาพแวดล้อมการทำงานหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นโรงงานอุตสาหกรรม, ไซต์งานก่อสร้าง, คลังสินค้า, ห้องครัว หรือแม้แต่โรงพยาบาล ล้วนมีความเสี่ยงที่เท้าของพนักงานอาจได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุต่างๆ ได้เสมอ ด้วยเหตุนี้ รองเท้าเซฟตี้ (Safety Shoes หรือ Safety Boots) จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่รองเท้าธรรมดา แต่เป็น อุปกรณ์ป้องกันภัยส่วนบุคคล (Personal Protective Equipment – PPE) ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการปกป้องอวัยวะที่สำคัญส่วนนี้
บทความนี้จะพาไปทำความรู้จักกับรองเท้าเซฟตี้ ว่ามีความสำคัญอย่างไร มีคุณสมบัติป้องกันอะไรบ้าง และควรเลือกใช้อย่างไรให้เหมาะสม (ข้อมูล ณ วันที่ 8 เมษายน 2025)
ทำไมรองเท้าเซฟตี้จึงสำคัญ?
เท้าเป็นอวัยวะที่ต้องรับน้ำหนักและเคลื่อนไหวตลอดเวลาในขณะทำงาน และมีความเสี่ยงต่ออันตรายหลากหลายรูปแบบ การสวมรองเท้าเซฟตี้ที่เหมาะสมสามารถช่วยป้องกันหรือลดความรุนแรงของการบาดเจ็บจาก:
- วัตถุตกกระแทก: ของหนักตกใส่บริเวณนิ้วเท้า
- การถูกบีบอัด: เท้าถูกทับโดยวัตถุที่มีน้ำหนักมากหรือยานพาหนะขนาดเล็ก
- วัตถุมีคมทิ่มแทง: การเหยียบตะปู, เศษแก้ว, หรือโลหะแหลมคม
- การลื่นล้ม: บนพื้นผิวที่เปียก, มัน หรือลื่น
- อันตรายจากไฟฟ้า: การสัมผัสกับกระแสไฟฟ้า (ไฟฟ้าดูด) หรือการเกิดไฟฟ้าสถิต
- สารเคมี: การสัมผัสกับสารเคมีอันตรายที่อาจกัดกร่อนผิวหนัง
- ความร้อน: การสัมผัสกับพื้นผิวที่ร้อนจัด หรือประกายไฟ
นอกเหนือจากการป้องกันการบาดเจ็บโดยตรงแล้ว ในหลายประเทศรวมถึงประเทศไทย มีกฎหมายและข้อบังคับด้านความปลอดภัยที่กำหนดให้นายจ้างต้องจัดหา PPE ที่เหมาะสม รวมถึงรองเท้าเซฟตี้ ให้กับพนักงานในพื้นที่เสี่ยง การสวมใส่รองเท้าเซฟตี้จึงเป็นการปฏิบัติตามกฎหมาย และยังช่วยส่งเสริมความมั่นใจและความปลอดภัยในการทำงานของพนักงานอีกด้วย
คุณสมบัติการป้องกันที่สำคัญ
รองเท้าเซฟตี้ที่ดีไม่ได้มีแค่ความทนทาน แต่ต้องมีคุณสมบัติป้องกันเฉพาะตามมาตรฐานกำหนด ดังนี้:
- ส่วนหัวรองเท้าป้องกันการกระแทก (Protective Toe Cap): เป็นส่วนที่แข็งแรงที่สุดบริเวณหัวรองเท้า ออกแบบมาเพื่อป้องกันนิ้วเท้าจากการตกกระแทกและการถูกบีบอัด วัสดุที่นิยมใช้ ได้แก่:
- หัวเหล็ก (Steel Toe): แข็งแรง ทนทาน ราคาเข้าถึงง่าย แต่น้ำหนักมาก และนำไฟฟ้า/ความร้อน/ความเย็นได้
- หัวอลูมิเนียม (Aluminium Toe): แข็งแรง น้ำหนักเบากว่าหัวเหล็ก ไม่นำแม่เหล็ก แต่ยังนำไฟฟ้า/ความร้อน
- หัวคอมโพสิต (Composite Toe): ทำจากวัสดุที่ไม่ใช่โลหะ (เช่น คาร์บอนไฟเบอร์, พลาสติกแข็ง, ไฟเบอร์กลาส) น้ำหนักเบาที่สุด ไม่นำไฟฟ้า/ความร้อน/ความเย็น เหมาะกับงานที่ต้องผ่านเครื่องตรวจจับโลหะ หรือมีความเสี่ยงด้านไฟฟ้า
- แผ่นพื้นรองเท้าเสริมกันทะลุ (Puncture-Resistant Midsole): เป็นแผ่นเสริมที่อยู่ระหว่างพื้นรองเท้าชั้นในและชั้นนอก ป้องกันวัตถุแหลมคมทิ่มแทงทะลุฝ่าเท้า วัสดุที่ใช้:
- แผ่นเหล็ก (Steel Midsole): ป้องกันได้ดีเยี่ยม แต่แข็ง ไม่ยืดหยุ่น และเพิ่มน้ำหนัก
- แผ่นวัสดุสังเคราะห์ (เช่น เคฟลาร์ – Kevlar): ทำจากเส้นใยสังเคราะห์ที่มีความเหนียวสูง น้ำหนักเบา ยืดหยุ่นดีกว่า และไม่นำไฟฟ้า
- พื้นรองเท้าชั้นนอก (Outsole): เป็นส่วนที่สัมผัสกับพื้นโดยตรง ออกแบบมาเพื่อ:
- กันลื่น (Slip Resistance): มีลวดลาย (Tread Pattern) และใช้วัสดุ (เช่น ยาง, PU, TPU) ที่ช่วยเพิ่มการยึดเกาะบนพื้นผิวต่างๆ ลดความเสี่ยงในการลื่นล้ม
- ทนน้ำมันและสารเคมี (Oil & Chemical Resistance): ใช้วัสดุที่ไม่เสื่อมสภาพง่ายเมื่อสัมผัสกับน้ำมันหรือสารเคมีบางประเภท
- ทนความร้อน (Heat Resistance): สำหรับงานที่ต้องสัมผัสพื้นผิวร้อน
- คุณสมบัติพิเศษอื่นๆ:
- ป้องกันไฟฟ้า (Electrical Hazard – EH): พื้นรองเท้าเป็นฉนวน ป้องกันไฟฟ้าดูดจากกระแสไฟฟ้ารั่วไหล
- ป้องกันไฟฟ้าสถิต (Antistatic / Electrostatic Dissipative – ESD): ช่วยคลายประจุไฟฟ้าสถิตออกจากร่างกายอย่างช้าๆ ป้องกันความเสียหายต่ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือลดความเสี่ยงการจุดประกายไฟ
- กันน้ำ (Water Resistant / Waterproof): ตัวรองเท้าทำจากวัสดุหรือมีการเคลือบ/เย็บตะเข็บที่ป้องกันน้ำซึมเข้า
- แผ่นป้องกันหลังเท้า (Metatarsal Guard): แผ่นเสริมด้านบนของรองเท้า ป้องกันการกระแทกบริเวณหลังเท้า
มาตรฐานคือสิ่งสำคัญ
รองเท้าเซฟตี้ที่ดีต้องผ่านการทดสอบและได้รับการรับรองตามมาตรฐานความปลอดภัยสากล หรือมาตรฐานของประเทศนั้นๆ เพื่อให้มั่นใจว่ามีคุณสมบัติป้องกันตามที่ระบุไว้จริง มาตรฐานที่พบบ่อย ได้แก่:
- EN ISO 20345: มาตรฐานยุโรปที่ได้รับการยอมรับกว้างขวาง มีการแบ่งระดับการป้องกัน เช่น
- SB: มีคุณสมบัติพื้นฐานคือ หัวรองเท้ากันกระแทก
- S1: เหมือน SB + ป้องกันไฟฟ้าสถิต + ดูดซับแรงกระแทกที่ส้นเท้า + พื้นทนน้ำมัน
- S1P: เหมือน S1 + มีแผ่นเสริมกันทะลุ
- S2: เหมือน S1 + ป้องกันน้ำซึมเข้าส่วนบน
- S3: เหมือน S2 + มีแผ่นเสริมกันทะลุ (ครบเครื่องที่สุดสำหรับงานทั่วไป)
- ASTM F2413: มาตรฐานของสหรัฐอเมริกา
- มอก. 523: มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมของไทยสำหรับรองเท้านิรภัย
การเลือกรองเท้าเซฟตี้ให้เหมาะสม
การเลือกรองเท้าเซฟตี้ไม่ใช่แค่เรื่องของดีไซน์ แต่ต้องคำนึงถึงปัจจัยเหล่านี้:
- ประเมินความเสี่ยงในงาน: อันดับแรกคือต้องรู้ว่าหน้างานมีความเสี่ยงอะไรบ้าง (ของตกใส่? ตะปู? พื้นลื่น? ไฟฟ้า? สารเคมี?)
- เลือกคุณสมบัติป้องกัน: เลือกรองเท้าที่มีคุณสมบัติป้องกันสอดคล้องกับความเสี่ยงที่ประเมินไว้
- ความสบายและการสวมใส่: รองเท้าต้องมีขนาดพอดี ไม่หลวมหรือคับเกินไป ลองสวมและเดินดูก่อนตัดสินใจซื้อ รองเท้าที่ไม่สบายอาจทำให้ไม่อยากใส่ หรือเกิดปัญหาเท้าอื่นๆ ตามมา
- ตรวจสอบมาตรฐาน: เลือกรองเท้าที่ผ่านการรับรองมาตรฐานที่น่าเชื่อถือและเหมาะสมกับข้อกำหนดของสถานที่ทำงาน
- วัสดุและความทนทาน: เลือกวัสดุที่ทนทาน เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมการทำงาน
การดูแลรักษาและเมื่อไหร่ควรเปลี่ยน
- ทำความสะอาดรองเท้าสม่ำเสมอตามคำแนะนำของผู้ผลิต
- ตรวจสอบสภาพรองเท้าเป็นประจำ มองหารอยฉีกขาด, หัวรองเท้าบุบ, พื้นรองเท้าสึกหรอหรือหลุดร่อน, แผ่นกันทะลุโผล่
- เปลี่ยนรองเท้าคู่ใหม่ทันที หากรองเท้าได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง (เช่น ถูกของหนักตกใส่หัวรองเท้าอย่างแรง, ถูกวัตถุมีคมแทงทะลุ) หรือเมื่อชำรุดทรุดโทรมจนคุณสมบัติการป้องกันลดลง
บทสรุป
รองเท้าเซฟตี้เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าเพื่อความปลอดภัยและสุขภาพของเท้าในระยะยาว การเลือกสวมใส่รองเท้าที่ถูกต้อง เหมาะสมกับลักษณะงาน และมีคุณภาพตามมาตรฐาน เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพื่อลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝัน และสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น
#ช่างไฟดอทคอม บริการงานซ่อมบำรุงระบบไฟฟ้า ไฟฟ้ากำลัง งานออกแบบติดตั้ง ครบจบ
ขั้นตอนการใช้บริการ
แอดไลน์ > แจ้งปัญหา > รอราคา > ตกลงราคา > รับบริการ

